วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความหมายของดอก ลิลลี่(Lily) แต่ละสี

ความหมายของดอก ลิลลี่(Lily) แต่ละสี



ดอกลิลลี่สีขาว (white lily) 
               แสดงออกถึงความรักที่บริสุทธิ์  ความรักแบบอ่อนหวาน จริงใจ และเทิดทูน

ดอกลิลลี่สีชมพู (pink lily)
        แสดงออกถึงการค้นหาความรักที่ดีที่สุดแล้วพบเจอมัน เป็นดอกไม้ที่ผสมผสานอารมณ์ของความรักได้ อย่างลงตัว สื่อถึงความรักความจริงใจที่มี

ดอกลิลลี่สีส้ม (orange lily) 
           แสดงออกถึงความร่าเริง สดใส ความปิติสุขที่ได้อยู่ใกล้  เป็นดอกไม้ที่นำความน่ารักและความสดใสมารวมกันอย่างพอดี

ดอกลิลลี่สีเหลือง (yellow lily)
           แสดงออกถึงความอบอุ่นที่ห่วงใย ของความรักที่มั่นคง  แสดงออกถึงความห่วงใย ห่วงหาอาทร  เป็นดอกไม้ทสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้ง


ดอกคาลล่าลิลลี่ (calla lily)  
             แสดงออกถึงความสง่างาม สวยตราตรึง มีหลากหลายสี สีไอวอรี่ สีครีม สีเหลือง สีส้ม ม่วง สีม่วงชมพู สีชมพู สีเขียว สีที่ได้รับความนิยมคือคาลล่าลิลลี่สีไอวอรี่และสีขา

โรค-แมลงและการป้องกัน


โรค-แมลงและการป้องกันกำจัด


1.  โรคโคนต้นเน่า เกิดจากเชื้อราที่อยู่ในดิน โดยเฉพาะดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี อาการของโรคที่พบคือ ต้นจะชะงักการเติบโตหรือเหี่ยวอย่างฉับพลัน ใบล่างจะเป็นสีเหลือง โคนต้นจะมีสีน้ำตาลอมม่วง ต้นเหนือดินมีจุดและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ต้นอ่อนแอ ล้มง่าย
การป้องกัน ควรปรับปรุงดินให้มีการระบายน้ำดี อย่าปล่อยให้ดินมีน้ำขังชื้นเกินไป และทำลายต้นที่เป็นโรคทิ้งไป

2.  โรครากเน่า เกิดจากเชื้อราที่อยู่ในดิน โดยเฉพาะดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี อาการของโรคที่พบคือ ต้นที่เป็นโรคจะเตี้ยกว่าต้นอื่น ๆ ในแปลง ใบแคบและสีหม่น ต้นมักจะโค้งงอเล็กน้อย ดอกจะร่วงมากกว่าต้นอื่น ๆ ดอกเล็กและไม่ค่อยบานเต็มที่ สีไม่สด หากขุดต้นขึ้นมาดูจะพบหัวและรากมีแผลเน่าลักษณะใสสีน้ำตาลอ่อน
การป้องกัน เมื่อพบว่าเกิดการระบาดของโรคนี้ขึ้นให้เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น โดยมีการปรับปรุงดินด้วยปูนขาวและปุ๋ยคอกสำหรับต้นที่เป็นโรคให้ถอนและขุดดินในหลุมไปเผา จากนั้นใช้ปูนขาวผสมน้ำราดลงไปในดินอีกครั้ง

3.  โรคใบจุด เกิดจากเชื้อราระบาดมากในช่วงฤดูฝน หรือช่วงที่มีน้ำค้างมาก แต่ในสภาพอากาศแห้งมักไม่ค่อยพบโรคนี้ อาการเริ่มแรกมักจะเกิดกับใบก่อนส่วนอื่น โดยมีจุดสีน้ำตาลเข้มและขยายออกไปอย่างรวดเร็วและแห้งตายในที่สุด ส่วนดอกที่ติดเชื้อกลีบจะบวมโป่ง มีจุดกลมช้ำน้ำสีเทาและเนื้อเยื่อตาย อาการที่กับส่วนใบ
การป้องกัน ตัดทำลายใบหรือดอกที่เป็นโรคทิ้ง และไม่ควรให้น้ำในตอนเย็น เพราะจะทำให้เชื้อราแพร่กระจายหรือเจริญเติบโตได้ง่าย

4.  โรคหัวและกลีบเน่า เกิดจากเชื้อราที่อยู่ในดิน หรือเชื้อราที่ติดมากับหัวหรือต้น อาการของโรคที่พบคือ ต้นจะโตช้า ใบมีสีเขียวอ่อน ต้นใต้ดินมีรอยสีน้ำตาลอมส้มถึงน้ำตาลเข้ม เนื้อเยื่อกลับหัวเริ่มเน่า และอาจขยายเข้าไปถึงส่วนในลำต้น ต่อมาจะเน่าและตาย
การป้องกัน เมื่อพบว่าเกิดการระบาดของโรคนี้ขึ้นให้เปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น โดยมีการปรับปรุงดินด้วยปูนขาวและปุ๋ยคอก สำหรับต้นที่เป็นโรคให้ถอนและขุดดินในหลุมไปเผา


***แมลงศัตรูลิลลี่ แมลงศัตรูลิลลี่ที่สำคัญคือ "เพลี้ยอ่อน" ซึ่งจะเข้าทำลายดูดน้ำเลี้ยงของลิลลี่ที่ใบและดอก***



ขอบคุณ  http://www.thaikasetsart.com



การปลูกต้นลิลลี่


การปลูกต้นลิลลี่

พื้นที่ปลูก ลิลลี่สามารถปลูกได้ดีในดินที่มีการระบายน้ำดี มีอินทรีย์วัตถุสูง

อุณหภูมิ ช่วงแรกของการเจริญเติบโต ควรรักษาอุณหภูมิประมาณ 12-13C หลังจากนั้นอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญของลิลลี่ คือ กลางคืน 14-16C และ กลางวัน 22-25C
ความชื้นสัมพัทธ์  -  ร้อยละ 80-85 

แสง ควรมีการพรางแสงในช่วงอากาศร้อน เพื่อรักษาความชื้น

แปลงปลูก -  ยกแปลงสูง 20-30 ซม. กว้าง 1 เมตร เว้นทางเดิน 50 ซม.การปลูกให้ปลูกจากหัวลึกประมาณ 2 นิ้ว ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 15×15 ซม. หลังจากกลบดินเรียบร้อยแล้วควรคลุมแปลงปลูกและรดน้ำให้ชุ่ม

การให้น้ำ หลังจากปลูกควรให้ดินชั้นบนมีความชื้นแต่ไม่แฉะ เพื่อให้ดินกระชับหัวและรากไว้ และต้องระวังอย่าให้ดินแน่นจนทำให้โครงสร้างของดินเสีย ในช่วงที่พืชกำลังเจริญเติบโตควรให้น้ำในช่วงเช้า ซึ่งจะทำให้ลิลลี่นำน้ำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าในช่วงเย็น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคเชื้อราที่เกิดจากความชื้นได้อีกด้วย การให้น้ำควรให้น้ำมากพอที่จะซึมลงสู่ราก แต่ไม่ให้แฉะ เมื่อลิลลี่เริ่มแทงช่อดอกควรระวังอย่าให้น้ำโดนช่อดอก

การให้ปุ๋ย - ในระยะแรกลิลลี่ยังต้องการธาตุอาหารน้อย เนื่องจากหัวมีการสะสมธาตุอาหารมาพอสมควรหลังจากปลูกได้ประมาณ 3 สัปดาห์ ให้ใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง จนกระทั่งลิลลี่เริ่มแทงช่อดอก ควรให้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมสูง หลังใส่ปุ๋ยทุกครั้งควรรดน้ำตามทันที หรือฉีดพ่นด้วยน้ำหวานหมักจากผลไม้ ใช้ฉีดพ่นแบบฮอร์โมนพืช ให้ผลในการบำรุงดีมากโดยเฉพาะในช่วงที่พืชกำลังออกดอก





วิธีการแยกหัวและเก็บรักษา


วิธีการแยกหัวและเก็บรักษา


      การเก็บรักษาให้นำพลาสติกใบใหญ่ผ่ากลางแล้วเจาะรูใช้รองก้นลัง แล้วเรียงหัวลิลลี่ให้เป็นระเบียบ จากนั้นโรยทับบาง ๆ ด้วยขุยมะพร้าวที่แช่น้ำจนอิ่มตัวแต่ก่อนจะนำมาใช้ควรผึ่งลมพอให้ชื้นเพียงหมาด ๆ ทำเป็นชั้น ๆ อย่างนี้จนถึงชั้นบนสุดให้โรยขุยมะพร้าวหนาประมาณ 6 นิ้ว แล้วปิดปากถุง นำไปเก็บในห้องเย็นที่อุณหภูมิ 4-5 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 เดือน จึงนำหัวไปปลูกได้

      สำหรับต้นลิลลี่ที่ต้องการใช้เป็นต้นแม่เพื่อขยายพันธุ์ หลังจากเก็บดอกแล้ว ควรทิ้งระยะให้ต้นแม่ผลิตหัวให้แข็งแรงต่อไปอีกประมาณ 2 เดือน ในระยะนี้ควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซียมสูง และควรฉีดสมุนไพรป้องกันแมลงตามปกติจนถึงเวลาเก็บหัวให้ลดปริมาณน้ำลงก่อนการขุด  เพื่อให้หัวดึงอาหารจากส่วนของลำต้นและใบมาสะสมไว้มากที่สุด หลังจากขุดหัวขึ้นมาแล้วให้นำไปล้างน้ำให้สะอาด


ขอบคุณ  http://www.thaikasetsart.com

การขยายพันธุ์


การขยายพันธุ์

   1. การเก็บหัว หลังจากตัดดอกแล้ว ตัดส่วนของลำต้นให้เหลือประมาณ 10-20 ซม. เหนือดิน ทิ้งให้หัวอยู่ในดินประมาณ 2 เดือน เพื่อให้หัวลูกเจริญเต็มที่  เมื่อใบเริ่มเป็นสีน้ำตาลจึงเก็บหัวขึ้น ไม่ต้องตัดรากหรือล้างราก นำไปบรรจุในถุงพลาสติกที่มีวัสดุเพาะชำ เช่น ขุยมะพร้าวชื้น ๆ เก็บที่อุณหภูมิ 2C  เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นหัวจะพร้อมปลูก ถ้ายังไม่ปลูกทันทีให้เก็บที่อุณหภูมิ -2C สามารถเก็บหัวได้นานถึง 1 ปี

       2. การชำกลีบ โดยแยกกลีบออก นำไปจุ่มในสารเคมีกันเชื้อรา ปลูกประมาณ 30-50 กลีบ ต่อแถวยาว 30 ซม. แต่ละแถวห่างกันประมาณ 30-35 ซม. 

        3. การชำใบ โดยตัดใบและชำในวัสดุชำที่ชื้นลึก 1.5 ซม. ที่อุณหภูมิ 20

       4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการขยายพันธุ์ใหม่ ๆ ก่อนลงปลูกในแปลง

ขอบคุณ  http://www.thaikasetsart.com







วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

love Lily

ลิลลี่ (อังกฤษ: Lily ; ชื่อวิทยาศาสตร์: Lilium)

           ลิลลี่เป็นไม้ประเภทหัวมีถิ่นกำเนิดแถบทวีปเอเชียตอนกลาง มีหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่ไม่มีกลิ่นยกเว้นบางชนิดจะมีกลิ่นหอม(ฉุน) พันธุ์ลิลลี่ที่ปลูกกันส่วนใหญ่ในบ้านเรามี 4 ประเภท ได้แก่

           1.  ลิลลี่ปากแตร หรือ Longiflorum hybrid และ trumpet hybrid ลักษณะคล้ายปากแตร โดยโคนกลีบจะเชื่อมติดกันแล้วแยกออกเฉพาะปลาย มี 6 กลีบ เดิมมีสีขาวและมีกลิ่นหอม แต่เมื่อมีการปรับปรุงพันธุ์ทำให้มีหลากสีขึ้น ได้แก่ สีเหลือง ชมพู ม่วง แต่ไม่มีกลิ่นหอม ลิลลี่ประเภทนี้ดอกอ่อนจะตั้งขึ้น เมื่อดอกแก่จะนอนลงขนานกับพื้นดิน พันธุ์ที่นำเข้ามาปลูก เช่น โกลเด้นฮาร์ชัน ฮิโนโมโต้ พิงค์ เพอร์เฟ็กชั่น สเปลเดอร์ และ ทรัมเป็ตเยลโลว์ เป็นต้น

           2.  ลิลลี่ลูกผสมเอเชีย หรือ Asiatic hybrid เป็นประเภทที่นิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอกมากที่สุดกลีบดอกทั้ง 6 กลีบจะแยกออกจากกันไม่มีกลิ่นหอม ดอกมีทั้งชนิดที่มีจุดประเล็กน้อยและไม่มีเลย มีหลากสี ได้แก่ ขาว ครีม เหลือง ส้ม ชมพู แดง ลิลลี่ประเภทนี้ช่อดอกจะตั้งขึ้นไม่คว่ำหน้าเหมือนชนิดอื่นเมื่อให้ดอกแล้วจะเกิดหัวเล็ก ๆ ตามซอกใบ ซึ่งสามารถนำไปขยายพันธุ์เป็นต้นแม่ต่อไปได้ พันธุ์ที่นำเข้ามาปลูก เช่น คอนเนกติกัตคิง ออร์คิดบิวตี้ และ มองต์บลังก์

           3.  ลิลลี่ลูกผสมตะวันออก หรือ Oriental (Japanese) hybrid กลีบดอกทั้ง 6 กลีบจะแยกออกจากกัน มีกลิ่นหอมแรง ลักษณะเด่นคือกลีบดอกด้านในคล้ายหนวดยื่นออกมาเป็นจำนวนมาก มีหลากสี ได้แก่ ขาว ชมพู แดง ลิลลี่ประเภทนี้จะออกดอกในแนวนอนขนานกับพื้นดินมีขนาดของใบกว้างกว่าพันธุ์อื่น ๆ พันธุ์ที่นำเข้ามาปลูก เช่น แอดแลนติกสตาร์ คาซาบลังก้า และ สตาร์กาเซอร์


             4.  ลิลลี่ดอย หรือ Thai native Lily (L. primulinum var. burmaniacun) กลีบดอกทั้ง 6 กลีบจะแยกออกจากกัน มีกลิ่นหอมแรงโดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น เป็นลิลลี่พันธุ์พื้นเมืองของไทยอยู่ทางภาคเหนือตามดอยต่าง ๆ เช่น ดอยอ่างขาง ดอยอินทนนท์ และดอยปุย ลักษณะเด่นคือเมื่อดอกบานจะคว่ำหน้าลง ดอกสีเหลืองเข้ม มีปื้นสีน้ำตาลเข้มอยู่บริเวณใจกลางดอกและมีจุดประสีน้ำตาลอยู่มากมาย




ขอบคุณ  http://www.thaikasetsart.com